วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

^^ประโยชน์ของงานที่สวรรค์สั่ง^^

เรื่องที่ 1

การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์

ประโยชน์ของการบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์
      คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่เราใช้ในการดำเนินความสะดวกต่างๆ มากมาย ฉะนั้นเราจึงต้องมีการดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราถูกทำลายจากไวรัสต่างๆ หรือเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีความคงทนต่อการทำงานและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมั่งคง  เช่น  สามารถจัดทำเอกสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยระบบประมวลผลคำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ระบบสำนักงานอัตโนมัติ  การเล่นเกม การดูหนัง ฟังเพลง

http://www.notebookfocus.com/img_news_notebook/1292920401img_03.jpg
เรื่องที่ 2

เทคโนโลยีที่น่าสนใจในปี 2558

ประโยชน์ของเทคโนโลยีที่น่าสนใจในปี 2558
    ทำให้ได้รู้ถึงเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเปิดตัว และสามารถรู้ข้อมูลของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ในโลก
ยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

ทำให้ชีวิตของมนุษย์ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีในการใช้ชีวิตประจำวันอยู่เสมอ มนุษณ์จึงสร้างสิ่งต่างๆ มาเพื่ออำนวยความสะดวก สิ่งต่างๆที่อำนวยความสะดวกให้แกเรา ทำให้เรามีความสุขและความจรรโลงใจ 
 เช่น  การหาข้อมูลและความบันเทิงจากอินเตอร์เน็ท การรับ-ส่ง E-mail การสนทนาออนไลน์  การดูทีวีแบบสามมิติ


http://www.itallnews.com/wp-content/uploads/2013/07/iPhone-5-Vs-iPhone-6.jpg

เรื่องที่  3

การโจมตีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

       ช่วยให้เครื่อข่ายคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพในการทำงานของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เราทำงานหรือใช้งานคอมพิวเตอร์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย รวดเร็ว และเป็นการป้องกันอันตรายจากการบุกรุกของไวรัสที่มาจากสิ่งต่างๆ เช่น การสแกนไวรัสคอมพิวเตอร์ 
http://www.mvt.co.th/UserFiles/Image//Technical%20Tips/Network/DDoS-4.jpg


เรื่องที่ 4

เครือข่ายคอมพิวเตอร์


ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
    การนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อให้เกิดเป็นเครือข่ายที่สามารถใช้ในการติดต่อสื่อสาร เพื่ออำนวยความสะดวกแกการทำงานของเรา เช่น การสร้างระเครือข่ายของห้องเรียน หรือบริษัท
http://www.school.net.th/library/snet1/hardware/network.html


วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

เเนะนำตัว ^^: เทคโนโลยีเว็บ : Web 1.0 - 3.0

 เทคโนโลยีเว็บ : Web 1.0 - 3.0


Web 1.0
 1. ผู้เข้าชมสามารถอ่านได้อย่างเดียว (Read-only)
2. เป็นเทคโนโลยีที่สามารถแก้ไขข้อมูลหน้าตาของเว็บไซต์ได้เฉพาะผู้ดูแลเว็บไซต์ (Webmaster)
3. เป็นเว็บที่ผู้เข้าเยี่ยมชมไม่สามารถมีส่วนร่วมกับเว็บดังกล่าวได้ ถือว่าเป็นเว็บรุ่นแรกของเทคโนโลยีเว็บไซต์ ส่วนมากจะใช้ภาษา html เป็นภาษาสำหรับการพัฒนาเว็บ
4. ผู้อ่านมีส่วนร่วมน้อยมากในการเติมแต่งข้อมูล

                                                                                                                                                         

http://rattanasak.jigsawoffice.com/upload/editor-pic/images/web3_3.jpg#sthash.i5N3BbFL.dpuf

ยกตัวอย่าง Website เช่น friendfans.com เป็นเว็บไซต์สำหรับดูหนัง หาความสนุกสนานในยามว่าง มีวิธีการใช้งานคือ
1.ผู้ชมไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิก สามารถเข้าชมหนังได้เลย
2.เลือกชมหนัง หรือ รายการย้อนหลังที่ต้องการ

Web 2.0
 1. ผู้เข้าชมสามารถอ่านและเขียนได้ (Read-Write)
2. เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่พัฒนาต่อจากเว็บ 1.0
3. เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ เช่น เว็บบอร์ด เว็บบล็อก วิกิพีเดีย เป็นต้นซึ่งจะใช้ฐานข้อมูลมาเกี่ยวข้อกับเทคโนโลยีนี้ด้วย บุคคลทั่วไปคือผู้สร้างเนื้อหา และนำเสนอข้อมูลต่าง ทำให้เราเข้าใจว่าในยุคที่2 นั้นเป็นเรื่องของการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง  โดยการสร้างเสริมข้อมูลสารสนเทศ ให้มีคุณค่าและมีข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ดังตัวอย่างที่เป็นสิ่งที่ทุกคนคงรู้จักกันดีอย่าง  Wikipedia ทำให้ความรู้ถูกต่อยอดไปอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลทุกอย่างได้มาจากการเติมแต่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกิดจากการคานอำนาจของข้อมูลของแต่ละบุคคลทำให้ข้อมูลนั้นถูกต้องมากที่สุด และจะถูกมากขึ้นเมื่อเรื่องนั้นถูกขัดเกลามาตามระยะเวลายาวนาน


http://rattanasak.jigsawoffice.com/upload/editor-pic/images/web3_3.jpg#sthash.i5N3BbFL.dpuf

ยกตัวอย่าง  Website เช่น Wikipedia มีวิธีการใช้งานคือ
1. สมัครสมาชิก
2. การเข้าสู่ระบบเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด เช่น การใส่ User Name จากนั้นก็ ใส่Password
3. หาข้อมูลที่ต้องการทราบ
4. สามารถแก้ไขข้อมูลหรือ เพิ่มเติมข้อมูลได้  เพื่อการต่อยอดอย่างไม่มีสิ้นสุด

Web 3.0
1. ผู้ชมสามารถอ่าน เขียน จัดการ ( Read-Write-Execute )
คือจากที่ผู้เข้าไปใช้อ่าน และเพิ่มข้อมูล ผู้ใช้ก็สามารถปรับแต่งข้อมูลหรือระบบได้เองอย่างอิสระมากขึ้น  
2.เทคโนโลยีบางอย่างที่คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน web 3.0 ได้แก่
2.1 Artificial intelligence (AI) เป็นความฉลาดเทียมที่สร้างให้กับสิ่งไม่มีชีวิต ในที่นี้คือระบบคอมพิวเตอร์ อันจะเอามาเป็นเครื่องมือ ที่ช่วยคาดเดาพฤติกรรม วิเคราะห์ความต้องการของมนุษย์ หรือถ้าคิดแบบไทยๆ ก็คือหลักการของปัญญาประดิษฐ์นั่นเอง
2.2 Automated reasoning ระบบคอมพิวเตอร์ที่รู้จักการแก้ปัญหาเอง มีการประมวลผล ได้อย่างสมเหตุ พร้อมทั้ง แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า
2.3 Cognitive architecture อยู่บนพื้นฐานของการคัดลอก ที่คนไทยนิยมชมชอบกันนัก
2.4 Composite applications เป็นการผสมผสานบริการ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิเช่น VDO frog ดึงวิดีโอจาก You Tube มาแสดงได้ เสมือนหนึ่ง วิดีโอนั้น ตั้งอยู่บน VDO frog เอง ซึ่งอาจจะใช้การผสานแบบ APIs + APIs ก็ได้
2.5 Distributed computing เป็นลักษณะคล้ายๆกับ Data Center คือการใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องไป ประมวลผลร่วมกัน โดยใช้ความแตกต่างกันของโครงสร้าง องค์ประกอบฮาร์ดแวร์ หรือซอร์ฟแวร์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2.6 Knowledge representation การแทนความรู้ เป็นหนึ่งในสาขาสำคัญที่สุด ของปัญญาประดิษฐ์ คือก่อนจะสร้างความฉลาดให้ระบบ ได้นั้น ต้องให้ระบบ รู้จักการนำความรู้นั้นไปใช้เสียก่อน
2.7 Ontology คือภาษาที่ใช้เป็นตัวอธิบายข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น พาหนะที่กำหนดลักษณะของรถยนต์ ซึ่งรถยนต์ก็อาจจะเป็น ขับเคลื่อน 2 ล้อหรือ 4 ล้อ ก็ได้
2.8 Recombinant text เช่นในเรื่อง I-Robot กับ Terminator นั้น ก็คงดูๆเห็นๆกันมาบ้างแล้ว ดังนั้น แนวคิดที่ว่าจะให้มนุษย์สามารถ จัดการกับระบบ ในช่วงการทำงานช่วงใดก็ได้ จึงถูกหยิบยกมากล่าวอ้าง ว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีของ Web 3.0 ด้วย
2.9 Scalable vector graphics สืบเนื่องจากมาตรฐาน การสร้างภาพนั้น มีหลายรูปแบบ ทั้ง Gif, Jpeg, Png บางรูปแบบก็ต้อง จ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ทางผู้พัฒนาเสียด้วย ดังนั้นการนิยามวัตถุ อย่างภาพ ให้มีการพัฒนารูปแบบที่เป็นมาตรฐานใช้ร่วมกัน ในแบบ XML นั้น จึงเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี ที่น่าจะมีบทบาทสูงพอสมควร 
2.10 Semantic Web เทคโนโลยี จัดเป็น Aggregator แบบเต็มภาคภูมิก็ว่าได้ครับ คือเป็นเว็บไซต์ ที่มีการเชื่อมโยง สัมพันธ์กับแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่มีเนื้อหาสัมพันธ์กัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.11 Semantic Wiki การค้นหาแบบข้อมูลซ้อนข้อมูล หรือใช้การค้นหาหลายทิศทาง ผสมกับความเป็นส่วนตัวเข้าช่วย จะสามารถโฟกัสข้อมูลลงได้เช่นกัน
2.12 Software Agents โปรแกรมที่ทำงาน ให้บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้โดยอัตโนมัติ บางส่วนก็พัฒนากันออกมาได้แล้ว บางส่วนก็ยังเป็นแค่แนวคิดหลักการ




ตัวอย่าง  website 3.0 


www.youtube.com


ความแตกต่างระหว่าง web 1.0 2.0 3.0






วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์


การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์


การบำรุงรักษาเครืองคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
เครืองคอมพิวเตอร์เมือได้มีการใช้งานและควรมีการบำรุงรักษาเป็นประจำเพื่อการยืนอายุการใช้งานเครืองคอมพิวเตอร์  การบำรุงเครืองอย่างสมํ่าเสมอจะทำไห้เครืองสามารถทำงานได้ตามปกติ  แต่ในการดูแลอุปกรณ์ของเครืองคอมพิวเตอร์ในแต่ละชิ้นส่วนรนั้นผู้ดูแลบำรุ่งรักษาต้องมีความรู้เกียวกับอุปกรณ์นั้นๆ  ควรได้การศิกษาวิธีการบำรุ่งรักษาให้เข้าใจสำหรับการบำรุงรักษาในแต่ละชิ้น

  • ฟล็อปปี้ไดรฟ์
เป็นอุปกรณ์ทีต้องดูแลอยางสม่ำเสมอ การทำความสะอาดอาจจะสัปดาห์ละ1ครั้งหรืออาจำเป็นตอยางน้อยควรจะเด์อนละ 1 ครั้งไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้หัวอ่านสุกปรกได้ โดยควรใช้นํ้ายาสํ้าหรับล้างดิสก์ ตามขั้นตอนในคู่มือการใช้นํ้ายาทีระบุไว้ด้วยการหยดนํ้ายาใส่หัวล้างแล้วนําสอดในดิสก์ไดรฟ์  ซิงหัวล้างจะมีลักษณะเหมือนกับขนาดของดิสก์นั้นๆ เมือเกิดความสกปรกทีหัวอ่านอาจจะทำให้การบัญทึกข้อมูลมีปัญหา หรือ บัญทึกไม่ได้เวลาไปอ่านทีเครืองอืนๆ   อาจจะทำให้มีปัญหาได้ดั้งนั้นครัวหมั่นดูแล หากอายุการใช้งานผ่านไปหลายเดือนควรได้รับการเป่าฝุ่นด้วยการถอดชิ้นสวนเครืองออกทั้งหมดแล้วทั้าการเป่าฝุนในชิ้นสวนต่างๆของเครือง

https://sites.google.com/site/yvccinta/kar-barung-raksa-kherux-ng-khxmphiwtexr-laea-xu-pk-rn




  • เมนบอร์ด( Mainbord )
การทำงานของเมนบอร์ดเป็นการทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นส่วนทีสำคัญเพราะเมนบอร์ดเป็นศูนย์รวมของอุปกรณ์ต่างๆในเครื่องคอมพิวเตอร์ทีติดตั้งอยู่ เช่น ชีพียู CPU หน่วยความจำรอม Rom แรม ram ส่วนประกอบอื่นๆ หากเมนบอร์ดสามารถทำงานได้ตามปกติหมายถึงของการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเป็นอันจบลงเพราะไม่สามารถใช้งาน อย่างมากก็ต้องถอดชิ้นส่วนทีพอถอดได้ แล้วนำไปติดตั้งให้กับเมนบอร์ดอื่นๆทีเข้ากันได้ดังนั้นควรมีการบำรุงรักษาอย่างดีก่อนทีจะสายเกินไป การบำรุงรักษาทีดีทีสุดคือการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการเป่าฝุ่นเป็นประจำ หรืออาจมีการกันอีกชั้นหนึ่งก็คือการมีผ้าคลุมเครื่องหรือมีห้องมิดชิด การเก็บรักษาเครื่องในอุณหภูมิทีเหมาะสมยังเป็นการยืนอายุการยืดอายุการใช้งานของเมนบอร์ดด้วย
https://sites.google.com/site/yvccinta/menbxrd-main-bord


  • หน่วยความจำผลกลาง( Central Processing unit)
หน่วยความจำผลกลางเป็นศูนย์กลางการประมวลทั้งหมดของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือถือว่าเป็นสมองของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเอง ประกอบด้วยหน่วยความจำหน่วยคำนวณและหน่วยควบคุมการยืนอายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น มีวิธีการทีได้ผลิตมาจากโรงงานพร้อมชีพียูหรืออาจจะซื้อเพิ่มเติมได้ไนบางรุ่นนั้นก็คือพัดลมระบายอากาศทีติดอยู่กับชีพียูบ่อยนัก ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเกิดจากความสกปรกของพัดลมทำไห้การพัดทำงานไม่ปกติทำให้ไม่ความร้อนทีเกิดจากการทำงานของชีพียู   
https://sites.google.com/site/yvccinta/hnwy-khwam-ca-phlk-lang-central-processing-unit

  • ชีดีรอมไดร์ฟ CD-Rom drive)
การดูแลรักษาชีดีรอมไดร์ฟนั้นมีวิธีการใกล้เคียงกัน การดูแลรักษาชีดีรอมไดร์ฟนั้นมีวิธีการใกล้เคียงกันกับดิสก์ คือดูแลความสะอาดด้วยการเป่าฝุ่นการใช้น้ำยาแผนทำความสะอาดแล้วนำใส่ชีดีรอมไดรฟ์เพื่อเป็นการทำความสะอาดหัวอาน  การปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำเป็นการยืนอายุการใช้งานชีดีรอมไดร์ฟเป็นอย่างดี

https://sites.google.com/site/yvccinta/chi-di-rxm-dirf-cd-rom-drive
  • จอภาพ  (monitor)
จอภาพเป็นส่วนแสดงผลจากการประมวล ดั้งนั้นวิธีการบำรุงรักษาจอภาพจึงเหมือนกันกับอุปกรณ์อื่นในเครื่องคือ ป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าสู่จอภาพ ด้วยการใช้ผ้าคลุมจอภาพไว้ขณะที่ไม่มีการใช้งาน  การใช้เครื่องในห้องทีมิดชิด  และทีสำคัญในการทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดคอมพิวเตอร์ คือนำผ้าหรือโฝ่มเช็ดด้วยน้ำยาควรใช้ผ้าชุบน้ำบิดให้หมาดจริงๆไม่ให้มีน้ำหยดอาจจะวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในจอภาพได้อีกวิธีหนึ่ง สามารถทำได้แต่ภายนอกเครื่องอาจจะช่วยได้ไม่มากนักคือการเป่าฝุ่น หากไม่สะดวกอาจต้องแกะฝาครอบออกและเป่าฝุ่นควรเป่าในระยะไกลเพราะอาจจะร้อนเกินไปทำให้เกิดความเสียหายกับวงจรได้

  • แหล่งจ่ายไฟ ( Power Supply )
แหล่งจ่ายไฟเป็นกระแสไฟในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้กระแสดีชี CD ไม่ใช้กระแสเอชี AC ทีออกจากปลั๊ก คอมพิวเตอร์จะจัดการเปลี่ยนจากAC เป็น  AC   ก่อนสิ่งที่ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องกระแสไฟไหลไม่สม่ำเสมอจะมีผลเสียต่อตัวเครื่องมาก ควรมีการติดตั้งอุปกรณ์ทีใช้ควบคุมในเรืองนี้ด้วยแหล่งจ่ายไฟเป็นส่วนทีสำคัญสำหรับระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์เพราะเป็นส่วนทีทำหน้าท่าแรงดันให้กับแผนวงจรต่างๆ  ภายในระบบ หากแหล่งจ่ายไฟมีคุณภาพต่ำอาจเป็นผลให้อุปกรณ์อื่นๆ เสียหายได้ เพราะปัญหาใหญ่สำหรับการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆที่ไม่ปกตินั้นเกิดจากกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอ ทำให้สัญญาณไปรบกวนอุปกรณ์อื่นๆได้วิธีการทีจะบำรุงรักษาไห้แห่ลงจ่ายไฟมีอายุยาวนานในการใช้งานคือ การมีเครื่องสำรองไฟฟ้า up เพื่อป้องกันเครื่อง
  • เครื่องพิมพ์ ( Printe)
ครื่องพิมพ์ที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายประเภท เช่น แบบกระทบ(  Impact  Printer) ซึ่งจะรวมถึงแบบจุด Don matrix และแบบจาน ( Daisy wheel) นอกจากนั้นก็ยังมีแบบไม่กระทบ Non Impact  Printer ซึ่งแบ่งเป็นแบบฉีดหมึก Ink Jet และเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ( laser  Printer  )

*เครื่องพิมพ์แบบจุด ( Dot  Matrix printer) ส่วนมากเรียกสั้นๆว่า( Do matrix )หรือdot printer หมายถึงเครื่องพิมพ์หรืออุปกรณ์แสดงผลของคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง ใช้เข็มตอกลงไปลงบนกระดาษ ทำให้ผลทีออกมาดูเป็นจุดเรียงไปตามรูปสีเหลี่ยมจุดเหล่านี้จะรวมกันเป็นตัวอักษรทีเป็นรูปและขนาดทีต้องการ สำหรับเส้นโค้งนั้นเครื่องพิมพ์ชนิดนี้ทำไม่ได้ดีนัก แต่หากมีจุดเรียงกันได้ละเอียดเท่าใด เส้นโค้งก็จะดูดีขึ้นและอักษรก็จะดูสวยงามขึ้น คุณภาพของเครื่องพิมพ์นั้น จึงวัดกันเป็นจำนวนจุดต่อนิ้ว ยิ่งเครื่องพิมพ์มีคุณภาพ ก็ต้องยิ่งมีจำนวนจุดต่อนิ้วมาก
การบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์แบบ (Dot Matrix  Printer  ) มีดั้งนี้
*การทดสอบหรือการสั่งพิมพ์เครื่องพิมพ์ควรตรวจสอบการใส่ผ้าหมึก กระดาษว่าเรียบร้อยหรือไม่เพื่อเป็นการถนอมหัวเข็ม
*การใส่กระดาษควรใส่ให้ถูกวิธีเช่นการโหลดกระดาษแบบอัตโนมัติ หรือการ โหลดกระดาษโดยการกดเครื่องพิมพ์โหลดไม่ควรใช้ลูกบิดของเครื่องพิมพ์อาจจะทำให้เฟืองหรือลูกบิดชำรุดได้
*ควรใช้กระดาษที่มีคุณภาพ เช่น กระดาษต่อเนื่องหรือกระดาษถ่ายเอกสารเพราะหากเห็นกระดาษคุณภาพไม่ดีอาจจะทำให้หัวเข็มชำรุดเร็วขึ้น
*ก่อนการสั่งการเครื่องพิมพ์ทุกครั้งพิมพ์ทุกครั้งควรตรวจสอบอุปกรณ์ว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อยทุกชิ้นสวนหรือไม่โดยเฉพาะฝาครอบของเครื่องส่วนมากไม่ชอบปิดอาจจะทำให้ฝุ่นละอองหรือเศษวัสดุเข้าไปติดในเครื่องพิมพ์ได้โดยง่าย
*เครื่องพิมพ์ประเภทนี้จะมีคันโยกสำหรับความหนาของกระดาษควรตรวจสอบความถูกต้องก่อนสั่งพิมพ์ทุกครั้ง
*ควรถอดชิ้นส่วนในการเป่าฝุ่นละอองบ้าง ทีสำคัญช่วงขั้นตอนการถอดชิ้นส่วนควรจำวิธีการประกอบคืนด้วย
*ฝาเครื่องควรเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งถ้าเป็นไปได้ควรทำเป็นประจำทุกวัน

https://sites.google.com/site/yvccinta/kheruxngphimph-printe
  • เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)
เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer) หมายถึง เครื่องพิมพ์แบบหนึ่งที่ใช้ลำแสงเลเซอร์ในการสร้างภาพและถ่ายทอดลง สู่กระดาษด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ความเร็วของเครื่องพิมพ์เลเซอร์นั้นวัดกันเป็นหน้าต่อนาที (PPC) เช่น 10 หน้าต่อนาที เป็นต้น ส่วนคุณภาพของการพิมพ์นั้นวัดเป็นจุดต่อนิ้ว (DPI) เช่น 600 จุดต่อ 1 นิ้ว ยิ่งมีจุดมาก แสดงว่ามีความละเอียดมาก ภาพจะชมชัดกว่าภาพที่มีจุดน้อยหรือมีความละเอียดน้อย
https://sites.google.com/site/yvccinta/kheruxngphimph-lesexr-laser-printer
การบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์แบบ Laser Printer มีดังนี้
*กระดาษที่นำมาใช้กับเครื่องพิมพ์ควรเป็นกระดาษถ่ายเอกสารหรือกระดาษสำหรับเครื่องพิมพ์โดยตรง
*หากมีกระดาษติดในเครื่องควรนำออกมาอย่างถูกวิธีตามขั้นตอนการเปิดเครื่องส่วนมากจะต้องเปิดฝาครอบยกขึ้นแล้วนำผ้าหมึกถอดออกจากเครื่องและนำกระดาษออก ไม่ควรฝืนหากนำกระดาษออกได้ ควรให้ผู้รู้เป็นคนดำเนินการแทน
*ขณะเครื่องพิมพ์กำลังทำงานหรือกำลังพิมพ์ไม่ควรปิดเครื่องกะทันหันอาจทำให้กระดาษติดได้
*การนำกระดาษใส่ในถาดครั้งละหลายแผ่นควรกรีดกระดาษก่อนเพื่อไม่ให้กระดาษติดเวลาสั่งพิมพ์
*ฝาเครื่องควรเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

  • เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Inkjet Printer)
เครื่องพิมพ์นี้เป็นแบบพ่นหมึกจึงมีวิธีบำรุงรักษาดังนี้
*ควรเลือกกระดาษที่มีคุณภาพดีสำหรับใช้กับเครื่องพิมพ์ หากกระดาษบางเกินไปอาจจะมีปัญหาในเรื่องของการผิดกระดาษหรืออาจจะทำให้เฟืองผิดกระดาษชำรุดได้
*การนำกระดาษใส่ถาดควรกรีดกระดาษก่อนทุกครั้งเพื่อไม่ให้กระดาษติดเวลาผิดเข้าเครื่องอาจทำให้เฟืองชำรุดได้
*ควรถอดชิ้นส่วนในการเป่าฝุ่นละอองบ้าง ที่สำคัญช่วงขั้นตอนการถอดชิ้นส่วนควรจำวิธีการประกอบคืนด้วย
*ฝาเครื่องควรเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ถ้าเป็นไปได้ควรทำเป็นประจำทุกวัน


https://sites.google.com/site/yvccinta/kheruxngphimph-baeb-phn-hmuk-inkjet-printer

สิ่งที่เป็นอันตรายต่อเครื่องคอมพิวเตอร์มีดังนี้
1. กระแสไฟฟ้า หากเกิดกระแสไฟฟ้าขัดข้องหรือดับกะทันหันอาจเป็นเหตุให้เครื่องคอมพิวเตอร์ชำรุดได้ ควรมีแบตเตอรี่สำรองไฟฟ้า (UPS) ที่จะทำงานทันทีที่ไฟดับ โดยปกติแบตเตอรี่ขนาดนี้นั้นมีไว้ใช้พอที่จะสั่งให้เก็บงาน (Save) ที่ทำอยู่เท่านั้น ไม่ได้มีให้ใช้ต่อไปเมื่อบันทึกลงเก็บเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องรีบปิดเครื่อง
2. ความร้อน หากคอมพิวเตอร์มีความร้อนมากอาจทำให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในเครื่องเสื่อมหรือชำรุดได้ โดยปกติซีพียูได้ติดตั้งพัดลมระบายอากาศให้กับซีพียูมาด้วยเพื่อเป็นการระบายความร้อนในระบบด้วย หากเป็นการถนอมและรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ควรใช้ได้ควรปฏิบัติการอยู่ในสถานทีมีอากาศระบายอย่างดีสุดควรเป็นห้องปรับอากาศเพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์
3. ฝุ่นละออง หากการปฏิบัติงานในบริเวณทีมีฝุ่นละอองมากควรได้มีการป้องกัน เช่น อาจจะทำให้ห้องมิดชิด ไม่ควรกวาดพื้นให้ฝุ่นละอองคลุ้งกระจายในห้องปฏิบัติการอาจทำให้ฝุ่นละอองไปสะสมภายในอุปกรณ์ เช่นการ์ดและสล๊อตต่างๆซึ่งจะเป็นสาเหตุให้การทำงานผิดพลาดได้
4. การปิดเครื่องอย่างไม่ถูกวิธีหรือการเปิดเครื่องบ่อยๆ  จะทำให้เครื่องกระชากอาจเป็นเหตุให้เครื่องเกิดข้อผิดพลาดได้
5. น้ำ ไม่ควรให้น้ำหกใส่อุปกรณ์ใดๆ เพราะจะทำให้อุปกรณ์เสียหายได้ ยิ่งขณะกำลังปฏิบัติงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ยิ่งต้องหลีกเหลี่ยงการใช้น้ำเพราะอาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ทำให้เกิดอันตรายต่อเครื่องคอมพิวเตอร์และผู้ปฏิบัติการ

ปัญหาของเครื่องคอมพิวเตอร์
ปัญหาของเครื่องคอมพิวเตอร์แยกออกเป็น 2 ด้านดั้งนี้
1. ด้านฮาร์ดแวร์ ( Hard ware ) ข้อผิดพลาดทางด้านฮาร์ดแวร์ส่วนกายภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์แบ่ง 3 เป็นส่วนใหญ่ๆคือ
1.หน่วยรับข้อมูล เช่น แป้นพิมพ์ หน่วยบันทึก
2.หน่วยความจำเช่น ซิป (chips) หรือหน่วยความ   เช่น จานบันทึก
3.หน่วยแสดงผล เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ ข้อผิดพลาดทางด้านฮาร์ดแวร์จึงอาจเกิดจากอุปกรณ์ใดก็ได้ เช่นนากพิมพ์ไม่ปฏิบัติงานตามปกติควรมีการตรวจสอบว่าแป้นพิมพ์หลุดจากช่องต่อหรือหลวมหรือไม่ หากยังไม่ปกติ ลองนำเครื่องคอมพิมพ์จากเครื่องอื่นมาทดสอบปฏิบัติก็จะได้ทราบผลการทำงานหากเป็นการปฏิบัติงานของจอภาพผิดพลาดเช่นจอภาพไม่ติดขณะปฏิบัติอาจจะเกิดจากจอภาพหรือการ์ดจอก็ได้อย่างแรกลองเปลี่ยนเปลี่ยนจอภาพใหม่ทีใช้งานได้ปกติก่อนหากติดแสดงว่าจอภาพ หากยังไม่สามารถทำงานได้ให้ลองเปลี่ยนการ์ดจอเพื่อทดสอบ  หลักเดียวกันนี้สามารถทดสอบกับอุปกรณ์ได้ทุกอุปกรณ์ได้ทุกอุปกรณ์เป็นเพียงหลักการเบื้องต้นเท่านั้น

2.  ด้านซอฟต์แวร์   (Soft ware) เป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับโปรแกรมเครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมที่มีผลต่อการใช้งานมากก็คือเกิดจากซอฟต์แวร์ระบบ   ( Systems Software) ทนทีเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์จะอ่านและปฏิบัติการตามโปรแกรมระบบนี้ก่อน โปรแกรมระบบประกอบด้วยโปรแกรมต่างๆ หลายโปรแกรมเช่น loaderหรือตัวบรรจุ มีหน้าทีบรรจุข้อมูลทีส่งเข้าไปเก็บในหน่วยความจำตามเลขทีอยู่ (Address) ต่างๆ ( Operating  System ) หรือระบบปฏิบัติการมีหน้าที่เป็นเสมือนแม่บ้าน กล่าวคือ มีหน้าทีคอยควบคุมดูแลการทำงานของหน่วยต่างๆของคอมพิวเตอร์ชิ่งหากเกิดข้อผิดพลาด เช่น ไม่สามารถบูติเครื่องทำงานได้แต่อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ยังปกติ การปฏิบัติการก็ควรได้ดำเนินการติดตั้งโปรแกรมระบบปฏิบัติการใหม่จนกว่าจะใช้งานได้หากฮาร์ดแวร์ปกติแต่ไมสามารถใช้งานได้ควรพิจารณาถึงโปรแกรมไดร์ฟเวอร์เพื่อนำมาติดตั้งให้ฮารแวร์ใช้งานได้ตามปกติ
ส่วนชุดคำสั่งเบ็ดเสร็จ หมายถึง โปรแกรมที่ผู้ผลิตออกมาเป็นชุดเดียวกัน สามารถทำงานได้หลายอย่างโดยเฉพาะงานสำนักงานทั่วไป ทีใช้กันมากได้แก่ โปรแกรมประมวลผลคำ ตารางงานฐานข้อมูลละการสื่อสารเป็นต้น หากเกิดข้อผิดพลาดกับโปรแกรมให้ทำการติดตั้งโปรแกรมใหม่มีผลต่อข้อมูลทีได้บันทึกไว้แล้ว

การดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์
การดูแลรักษาคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องปัญหาทำงานไปได้สักระยะหนึ่งอาจเต็มไปด้วยขยะทั้งฮาร์ดิสก์ การดูแลรักษาเพื่อให้เครื่องใช้ได้นานๆ หรือทำให้เครื่องทำเครื่องทำงานได้เร็วขึ้นมีด้วยกันหลายวิธีดังนี้
  • โปรแกรม (Disk cleanup)
โปรแกรม (  Disk cleanup)สำหรับลบไฟล์ทีไม่จำเป็นออกจากฮาร์ดดิสก์ เพื่อให้การทำงานของเรื่องเร็วขึ้นเปรียบได้กับใช้สำหรับการทำความสะอาดฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์มีเนื้อทีเหลือใช้งานเพิ่มมากขึ้น ดั้งนั้นควรทีจะทำการส่งโปรแกรม(Disk cleanup) เป็นประจำประมารสัปดาห์ละครั้ง

ที่มา:https://sites.google.com/site/yvccinta/12

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

งานครั้งที่ 5 DNS




DNS คือ Domain Name System และ DNS server คือ Domain 
Name System server เป็นเครื่องบริการแปลงชื่อเว็บเป็นหมายเลข
 IP ซึ่งการแปลงชื่อนี้อาจเกิดในเครื่อง local เอง จาก cache ใน
เครื่อง local หรือจากเครื่องบริการของผู้ให้บริการ เพราะ เบอร์ IP 
Address เป็นตัวเลขที่ใช้ไม่ค่อยสะดวกและจำยาก ด้วยเหตุนี้จึงมีการ
คิดระบบตั้งชื่อแบบที่เป็นตัวอักษร ห้มีความหมายเพื่อการจดจำได้
ง่ายกว่ามาก เวลาเราอ้างถึงเครื่องใดบนอินเตอร์เน็ต เราก็จะใช้ชื่อ
 DNS เช่น www.kradarndum.com แต่ในการใช้งานจริงนั้นเครื่อง
คอมพิวเตอร์ที่เราใช้อยู่ เมื่อรับคำสั่งจากเราแล้ว เค้าจะขอ (request)
 เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่บริการบอกเลขหมาย IP Address
 (ทำหน้าที่คล้ายสมุดโทรศัพท์ Yellow Pages) ซึ่งเรียกกันว่าเป็น
 DNS Server หรือ Name Server ตัว Name Server เมื่อได้รับ
 request ก็จะตอบเลขหมาย IP Address กลับมาให้เช่น สำหรับ 
www.kradarndum.com นั้นจะตอบกลับมาเป็น xxx.xxx.xxx.xxx
 จากนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราจึงจะเริ่มทำการติดต่อ กับ
คอมพิวเตอร์เป้าหมาย ซึ่งมันก็จะผ่านกระบวนการแบบที่กล่าวไปข้าง
ต้น คือแบ่งข้อมูลออกเป็น packet จ่าหัวด้วย IP จากนั้นส่ง packet
 ไปซึ่งก็จะวิ่งผ่าน gateway ต่างๆ มากมายไปยังเป้าหมาย 


   การทำงานของระบบ DNS
 
      DNS ทำหน้าที่คล้ายสมุดโทรศัพท์คือ เมื่อมีคนต้องการจะ


โทรศัพท์หาใคร คนนั้นก็จะเปิดสมุดโทรศัพท์ดู เพื่อค้นหาหมายเลข

โทรศัพท์ของคนที่ต้องการติดต่อ คอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน เมื่อต้องการ

สื่อสารกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น เครื่องนั้นก็จะทำการสอบถาม

หมายเลข IP ของเครื่องที่ต้องการสื่อสารด้วยกับ DNS server วึ่งจะ

ทำการค้นหาหมายเลขดังกล่าวในฐานข้อมูลแล้วแจ้งให้โฮสต์ดัง

กล่าว ทราบ ระบบ DNS แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 

      1.Name Resolvers : ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าจุดประสงค์หลัก

ของ DNS คือการแปลงชื่อคอมพิวเตอร์ ให้เป็นหมายเลข IP ใน

เทอมของ DNS แล้วเครื่องไคลเอนท์ที่ต้องการสอบถามหมายเลข IP

 จะเรียกว่า "รีโซล์ฟเวอร์ (resolver)" วอฟแวร์ที่ทำหน้าที่เป็นรีโซล์ฟ

เวอร์นั้นจะถูกสร้างมากับแอพพลิเคชันหรืออาจจะเป็นไลบรารีที่มีอยู่

ในเครื่องไคลเอนท์ 

      2.Domain Name Space : ฐานข้อมูลระบบ DNS มีโครงสร้าง


เป็นต้นไม้ ซึ่งจะเรียกว่า "โดเมนเนมสเปซ (Domain Name Space)"

 แต่ละโดเมนจะมีชื่อและสามารถมีโดเมนย่อยหรือซับโดเมน

 (Subdomain) การเรียกชื่อจะใช้จุด ( .) เป็นตัวแบ่งแยกระหว่าง

โดเมนหลักและโดเมนย่อย 

      3.Name Servers : เนมเซิร์ฟเวอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รัน

โปรแกรมที่จัดการฐานข้อมูลบางส่วนของระบบ DNS เนมเซิร์ฟเวอร์

จะตอบกลับการร้องขอทันทีโดยการค้นหาข้อมูลในฐานของมูลตัวเอง

 หรือจะส่งต่อการร้องขอ ไปยังเนมเซิร์ฟเวอร์อื่น ถ้าเนมเซิร์ฟเวอร์มี

เร็คคอร์ดของส่วนของโดเมน แสดงว่า เนมเซิร์ฟเวอร์นั้นเป็นเจ้าของ

โดเมนนั้น (Authoritative) ถ้าไม่มีก็จะเรียกว่า Non-Authoritative


ประโยชน์ชอง DNS
ประโยชน์ที่สำคัญของ DNS คือช่วยแปลงหมายเลขไอพีซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่จดจำได้ยาก (เช่น 207.942.31.206) มาเป็นชื่อที่สามารถจดจำได้ง่ายแทน (เช่น datatan.net)






ถ้าไม่มี DNS จะเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างไร 

สามารถตรวจสอบได้โดยการเข้าเว็บไซต์แบบ IP address โดยพิมพ์ ip address ของเครื่อง server แล้วตามด้วย account ที่ใช้ข้าระบบ control panel เช่น http://61.19.246.46/~picohostin ถ้าสามารถเข้าเว็บไซต์แบบ IP ได้ แสดงว่า DNS ของอินเตอร์เนตที่คุณใช้อยู่อาจจะมีปัญหา ให้แก้ไขโดยการเปลี่ยนไปใช้ DNS ของที่อื่นอย่างเช่น www.opendns.com หรือปิดเปิด router ใหม่ แต่ถ้าใช้งานอินเตอร์เนตผ่าน Proxy server หรือ ไม่ได้ใช้ router ก็ต้องหยุดเข้าเว็บสักพักหนึ่ง แล้วค่อยเข้าใหม่เพื่อให้ DNS มันอัพเดทข้อมูลก่อน 

ถ้าหากเข้าเว็บไซต์แบบ IP address แล้วยังเข้าไม่ได้ ปัญหานี้อาจจะเกิดจากระบบเครือข่ายมีปัญหา ให้ลองเข้าเว็บไซต์ผ่านproxy server หรือเข้าเว็บไซต์ผ่าน web proxy อย่างเช่น http://www.hidemyass.com/ หรือ http://www.nshout.com/(ค้นหา web proxy เพิ่มเติม) ถ้าหากสามารถเข้าเว็บไซต์ของคุณ ผ่าน web proxy ได้ แสดงว่าระบบเครือข่ายบางจุดอาจจะมีปัญหา ถ้าใช้อินเตอร์เนตผ่านrouter ให้ลองปิดเปิด router ใหม่ 

ถ้าหากเข้าเว็บไซต์แบบ IP address และลองเข้าผ่าน web proxy แล้วยังเข้าเว็บไม่ได้ ให้ลองขอให้เพื่อนที่อยู่ต่างจังหวัดหรือใช้อินเตอร์เนตคนละเจ้ากันลองเข้าเว็บไซต์ดู ถ้าเพื่อนที่อยู่ต่างจังหวัดเข้าได้ ก็อาจจะเป็นเพราะอินเตอร์เนตที่คุณใช้อยู่มีปัญหา แต่ถ้าเข้าไม่ได้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะระบบ network ของ กสท (เครื่อง server ของ picohostingอยู่ที่ CAT IDC) หรือเครื่อง server มีปัญหา ในกรณีที่ระบบเครือข่ายของ กสท มีปัญหา ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ กสท แก้ไขให้เรียบร้อยก่อนจึงจะสามารถเข้าเว็บไซต์ได้ แต่ถ้าเครื่อง server มีปัญหา ต้องรอให้ผู้ให้บริการแก้ไขปัญหาก่อนจึงจะสามาถเข้าเว็บไซต์ได้ 


การตรวจสอบเพิ่มเติมในกรณีที่ DNS มีปัญหา ลูกค้าสามารถใช้คำสั่งบน dos หรือ command promt ในการตรวจสอบว่า DNS ที่ใช้อยู่สามารถ query ชื่อโดเมนของคุณได้หรือไม่ โดยใช้คำสั่ง nslookup ให้เปิดหน้าต่าง dos หรือ command promt ขึ้นมาแล้วพิมพ์ nslookup [domain] โดยที่ [domain] ก็คือชื่อเว็บไซต์ของคุณ ยกตัวอย่างเช่น nslookup picohosting.com ถ้าหากสามารถ query ชื่อโดเมนได้จะแสดง IP address ของโดเมนออกมา






ที่มา

http://wiki.nectec.or.th/ngiwiki/bin/viewfile/Main/GroupProject?rev=;filename=%C3%D0%BA%BA_DNS_(Domain_Name_System).ppt 
http://www.krusuree.com/?option=com_content&view=article&id=59&Itemid=27